ยางพาราในประเทศไทย


ยางพาราในประเทศไทย


                ในประเทศไทยมีการปลูกยางพาราอย่างแพร่หลาย ยางพาราจึงกลายเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่ชาวเกษตรกรส่วนใหญ่ยังไม่ได้เรียนรู้หรือยังไม่ทราบประวัติของยางพาราในบ้านเรา เมื่อเรารู้ประวัติความเป็นมาโดยทั่วๆไป เราก็ควรศึกษา ประวัติของยางพาราที่เข้ามาในประเทศไทย



      1 ประวัติความเป็นมาของยางพาราในประเทศไทย


                ต้นยางพาราเข้ามาปลูกในประเทศไทย ตั้งแต่สมัยที่ยังใช้ชื่อว่า "สยาม" ประมาณกันว่าควรเป็นหลัง พ.ศ.2425 ซึ่งช่วงนั้น ได้มีการขยายเมล็ดกล้ายางพารา จากพันธุ์ 22 ต้น นำไปปลูกในประเทศต่าง ๆ ของทวีปเอเชีย และมีหลักฐานเด่นชัดว่า เมื่อ ปี พ.ศ.2442 พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) เป็นผู้เหมือนหนึ่ง "บิดาแห่งยาง" เป็นผู้ที่ได้นำต้นยางพารามาปลูกที่อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เป็นครั้งแรกจากนั้น พระยารัษฎานุประดิษฐ์ ได้ส่งคนไปเรียนวิธีปลูกยางเพื่อมาสอนประชาชน นักเรียนของท่านที่ส่งไปก็ล้วนแต่เป็นเจ้าเมือง นายอำเภอ กำนัน และผู้ใหญ่บ้านทั้งสิ้น พร้อมกันนั้นท่านก็สั่งให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นำพันธุ์ยางไปแจกจ่าย และส่งเสริมให้ราษฎรปลูกทั่วไป ซึ่งในยุคนั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นยุคตื่นยาง และชาวบ้านเรียกยางพารานี้ว่า ยางเทศา ต่อมาราษฎรได้นำเข้ามาปลูกเป็นสวนยางมากขึ้นและได้มีการขยายพื้นที่ปลูกยางไปในจังหวัดภาคใต้รวม 14 จังหวัดตั้งแต่ชุมพรลงไปถึงจังหวัดที่ติดชายแดนประเทศมาเลเซีย ความคิดที่จะนำยางพาราเข้ามาปลูกในประเทศไทย เกิดขึ้นเมื่อ พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดีเดินทางไปดูงาน ในประเทศมลายู เห็นชาวมลายูปลูกยางกันมีผลดีมากก็เกิดความสนใจที่จะนำยางเข้ามาปลูกในประเทศไทยบ้าง แต่พันธุ์ยาง สมัยนั้น ฝรั่งซึ่งเป็นเจ้าของสวนยาง หวงมาก ทำให้ไม่สามารถนำพันธุ์ยางกลับมาได้ ในการเดินทางครั้งนั้น จนกระทั่ง พ.ศ. 2444 พระสถล สถานพิทักษ์ เดินทางไปที่ประเทศอินโดเซีย จึงมีโอกาสนำกล้ากลับมาได้ โดยเอากล้ายางมาหุ้มรากด้วยสำลีชุบนน้ำ แล้วหุ้มทับด้วยยกระดาษหนังสือพิมพ์อีกชั้นหนึ่งจึงบรรจุลงลังไม้ฉำฉาใส่เรือกลไฟซึ่งเป็นเรือส่วนตัวของพระสถลฯรีบเดินทางกลับประเทศไทยทันที ยางที่นำมาครั้งนี้มีจำนวน ถึง 4 ลัง ด้วยกันพระสถลสถานพิทักษ์ ได้นำมาปลูกไว้ที่บริเวณหน้าบ้านพัก ที่อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ซึ่งปัจจุบันนี้ยังเหลือให้เห็นเป็นหลักฐานเพียงต้นเดียว อยู่บริเวณหน้าสหกรณ์การเกษตรกันตัง และจากยางรุ่นแรกนี้ พระสถลสถานพิทักษ์ ได้ขยายเนื้อที่ปลูกออกไป จนมีเนื้อที่ปลูกประมาณ 45 ไร่ นับได้ว่า พระสถลสถานพิทักษ์ คือผู้เป็นเจ้าของสวนยางคนแรกของประเทศไทย

        2 ลักษณะของต้นยางพารา

                ต้นยางพาราเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ มีอายุยาวนานเป็นร้อยๆ ปี ขณะนี้ยังมีต้นยางป่าอายุมากๆ ในป่าลุ่มน้ำอะเมซอนอีกเป็นจำนวนมาก ต้นที่เจริญเติบโตในประเทศบราซิล และในประเทศข้างเคียง ลำต้นวัดโดยรอบได้กว่า ๓ เมตร บางต้นลำต้นโตถึง ๕ เมตรเศษก็มี สำหรับความสูงนั้น ถ้าเป็นต้นที่สมบูรณ์ และอยู่ในที่ที่ระบายน้ำได้ดี จะมีความสูงถึง ๔๐ เมตร แต่ต้นที่เอามาปลูกในทวีปเอเชียเล็กลงมาก ลำต้นของต้นที่ปลูกด้วยเมล็ดจะโตประมาณ ๑-๒ เมตร และถ้าเป็นต้นติดตา ลำต้นจะโตไม่เกิน ๑ เมตร ส่วนความสูงก็ลดลงเหลือเพียงประมาณ ๑๕-๒๐ เมตรเท่านั้น ต้นยางมีเปลือกที่น้ำยางจะไหลออกได้หนาประมาณ ๖.๕-๑๕ มิลลิเมตร ทรงต้นที่สมบูรณ์มักจะสูง ชะลูด กิ่งแยกมักแยกตั้งขึ้นไปประมาณ ๔๕ องศาจากลำต้น ใบมักจะรวมเป็นพุ่มที่ส่วนปลายของกิ่ง แต่ละก้านใบแยกออกเป็น ๓ ใบ แต่ละใบใน ๓ ใบกว้างประมาณ ๕-๑๐ เซนติเมตร และยาวประมาณ ๑๐-๒๐ เซนติเมตร ในทางพฤกษศาสตร์ได้จัดให้ต้นยางพาราอยู่ในวงศ์ ยูฟอร์เบียซีอี (Family Euphorb iaceae) ในสกุลฮีเวีย (Genus Hevea) ชนิดบราซิไลเอ็นซิส (Species brasiliensis) ต้นยางฮีเวีย มีประมาณ ๒๐ ชนิด แต่ปรากฏว่า ฮีเวียบราซิไลเอ็นซิส (Hevea brasiliensis) เป ็น ชนิดที่ให้น้ำยางมากที่สุด และเนื้อยางก็มีคุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ดีกว่ายางชนิดอื่นๆ จึงปลูกกันแต่พันธุ์ฮีเวียบราซิไล เอ็นซิส ซึ่งเรียกว่า ต้นยางพารา เท่านั้น

                 ต้นยางพาราชอบขึ้นในดินร่วน ซึ่งมีการระบายน้ำใต้ผิวดินดี และดินนั้นควรมีความเป็นกรดมี pH ระหว่าง ๔-๕.๕ ต้องการฝนพอสมควร ขนาดปีละประมาณ ๒,๐๐๐-๒,๕๐๐ มิลลิเมตร หรือประมาณ ๘๐-๑๐๐ นิ้ว เฉลี่ยตกได้สม่ำเสมอกันทุกเดือนได้มากเท่าใดยิ่งดี เพราะยางพาราต้องการความชื้นสูง อุณหภูมิอยู่ในระดับ ๗๕-๘๐ องศาฟาห์เรนไฮต์ จึงเหมาะที่จะปลูกในระหว่างเส้นขนาน ๒๘ องศาเหนือ และ ๒๘ องศาใต้ เช่นเดียวกันกับที่ขึ้นอยู่ในอเมริกากลาง และอเมริกาใต้อันเป็นถิ่นเดิม ไม่ควรปลูกในที่สูงกว่า ระดับน้ำทะเล ๑,๐๐๐ ฟุต รากของต้นยางมีรากแก้วค่อนข้างตื้น ลึกลงไปไม่เกิน ๑.๕-๒ เมตร มีรากเล็กแผ่หากินไปตามผิวดินเป็นส่วนใหญ่ ที่ใดมีลมจัดมักจะล้มง่าย ต้นยางพาราทั้งที่ปลูกด้วยเมล็ด หรือต้นติดตา จะกรีดเอาน้ำยางได้ตั้งแต่อายุ ๕-๖ ปี ขึ้นไป ถ้ากรีดเปลือกด้วยความระมัดระวังจะกรีดหารายได้นานกว่า ๓๐ ปี สาเหตุที่ชอบปลูกต้นยางพารากันมากก็คือ ต้นยางพาราให้ผลิตผลสม่ำเสมอทุกปี และให้น้ำยางได้ทุกวัน แต่จะต้องรู้จักถนอมกรีด เพื่อให้ได้น้ำยางมาก และนานปี

                ได้กล่าวมาแล้วว่า สวนยางของประเทศไทยที่ปลูกอยู่ในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่เป็นสวนยางพันธุ์เลว เพราะใช้เมล็ดที่เก็บจากโคนต้นทำพันธุ์ปลูกต่อๆ กันมาเป็นเวลาหลายสิบปี แม้จะกระทั่งปัจจุบันนี้ ก็ยังมีเจ้าของสวนยางอีกจำนวนมากยังปลูกด้วยเมล็ด หรือต้นกล้าที่เก็บมาจากใต้ต้นยาง ต้นยางพันธุ์เลวให้ผลน้อยกว่าหลายเท่าถ้าเทียบกับต้นยางพันธุ์ดี ฉะนั้น ในการปลูกสร้างสวนยางพารา จะต้องปลูกด้วยยางพันธุ์ที่ดี









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น